วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สวัสดีลมหนาว
        กว่าลมหนาวจะเดินทางมาถึง..ก็ล่วงเข้ากลางเดือนธันวาคมเสียแล้ว  มาช้าดีกว่าไม่มาเสียเลย ลมหนาวเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าเรากำลังเข้าสู่เทศกาลความสุข ความเย็นของอากาศที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ เป็นความสุขอันแสนงดงาม


หลายคนออกเดินทาง..
หลายคนตั้งใจทำสิ่งใหม่ๆ..
หลายคนรอคอยคนในครอบครัวกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง..
หลายคนรอคอยสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า..

การรอคอยคือความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต
แม้บางครั้งสิ่งที่รอคอยอาจไม่เกิดขึ้นจริงสมดั่งที่ตั้งใจรอคอย
แต่จะกังวลไปทำไม
เพราะในขณะที่เราคอย..เราได้มีความสุขกับสิ่งนั้นไปแล้ว

สุขสันต์วันคริสมาสต์ค่ะ









วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อคิดจาก junko

ข้อแตกต่างระหว่าง สิ่งดี สิ่งดีกว่า และสิ่งดีที่สุด

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557


สำนักพิมพ์จัดโปรพิเศษค่ะ  
คุ้มสุด ๆ พิเศษ 10 วันเท่านั้น !!!
สั่งซื้อได้ตามวันเวลาดังกล่าว 


วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557





ความลับของโสเครตีส

      นานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางไปหาโสเครติส เพื่อถามเขาถึงเรื่องความลับของความสำเร็จในชีวิต โสเครติสไม่ตอบ แต่กลับนัดชายหนุ่มคนนั้นไปที่ริมแม่น้ำในเช้าวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มรีบไปถึงริมแม่น้ำแต่เช้าตรู่ และได้พบโสเครติส เขาพาชายหนุ่มเดินลงไปในแม่น้ำ และเดินลึกลงไปเรื่อยๆ จนน้ำท่วมถึงคอจวนเจียนจะจมน้ำเต็มที โสเครติสคว้าคอชายหนุ่มและกดหน้าเขาลงไปในน้ำ ชายหนุ่มตกใจพยายามตะเกียกตะกายให้พ้นน้ำ แต่โสเครติสเรี่ยวแรงมากกว่า เขากดหัวชายหนุ่มลงไปในน้ำอีก ชายหนุ่มกลั้นหายใจไว้ พยายามใช้กำลังทั้งหมดเพื่อดิ้นรนอย่างสุดแรง จนเขาสามารถหลุดจากมือของโสเครติสได้ สิ่งแรกที่เขาทำคือสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด โสเครติสถามเขาว่า “ สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้คืออะไร ชายหนุ่มตอบทันทีว่า “ผมต้องการอากาศหายใจ”

      โสเครติสยิ้มและตอบว่า “นั่นแหละ เคล็ดลับความสำเร็จ ถ้าเธอต้องการความสำเร็จ เหมือนต้องการอากาศหายใจ เธอจะประสบความสำเร็จแน่นอน ไม่มีความลับอะไรหรอก”

     ทำทุกอย่างราวกับสิ่งนั้นสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ นั่นคือสูตรความสำเร็จ

 สนใจอ่านฉบับเต็มได้แล้ววันนี้ ราคาพิเศษสุดเพียง 89 บาท
สั่งซื้อได้ที่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNjU1ODk4IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMTk3MzYiO30

















วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ต้อนรับความสุขเดือนธันวาคม พบกับหนังสือที่จะให้กำลังใจคุณลุกขึ้นสู้ !

ในวันที่ท้อแท้ ในวันที่หมดหวัง
ขอเพียงลุกขึ้นสู้ให้ถึงที่สุด และก่อนที่จะถอดใจยอมแพ้กับทุกปัญหา 
 ให้ลองถามตัวเองว่า
สู้มากพอหรือยัง?

เชื่อเถิดว่าแม้วันนี้จะมีความทุกข์..แต่"พรุ่งนี้ยังมีดอกไม้" รอคอยคุณเสมอ
สู้กันต่อไป

ปล อย่าลืมติดตามรายละเอียดหนังสือเล่มใหม่พร้อมโปรโมชั่นพิเศษของเราได้ที่นี่ เร็ว ๆ นี้ 


วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฝนเหงา ๆ ในต้นฤดูหนาว

   เดือนพฤศจิกายนน่าจะย่างเข้าสู่ฤดูหนาว..แต่เรายังไม่ได้กลิ่นลมหนาวกันแต่อย่างใด ฝนยังไม่ยอมขาดช่วง กลับทอดเวลาเนิ่นนานเกินความจำเป็น.. สายฝนยามเย็นบางครั้งทำให้คนเราเหงาได้ ยิ่งคนที่ต้องอยู่เพียงลำพัง..คนที่ห่างไกลคนรัก..คนที่ผิดหวัง..และคนที่มีความทุกข์

    ความเหงาไม่ได้มาพร้อมฝนหรอก
    แต่ความเหงาซ่อนซุกอยู่ในใจของเราเสมอ
    เพียงแต่จะปรากฎตัวในวันที่หัวใจเราอ่อนแอ
 
    ความเหงาไม่ใช่คนแปลกหน้า..แต่คือคนที่่เราคุ้นเคยเสมอ
   จะแปลกอะไรถ้าเราจะเหงาบ้าง..
  เอ่ยสวัสดีความเหงากันดีกว่า
2 พฤศจิกายน 2557
  
 

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทักทาย

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ

    สำนักพิมพ์ ญามิตรา "อักษรานักฝัน สร้างสรรค์เพื่อนักอ่าน" เป็นสำนักพิมพ์อีบุ๊คที่เป็นการรวมตัวของบรรดานักเขียนที่ผ่านประสบการณ์การทำหนังสือมานานนับปี  ขอเปิดประเดิมตัวเองด้วยนวนิยายใหม่รูปแบบอีบุ๊ค 2 เรื่อง 2 รสร้อนแรง จากปลายปากกาของ วาริฏา มาฝากกันค่ะ และจะพยายามทะยอยผลงานหลากหลายรสชาติของนักเขียนหน้าใหม่หน้าเก่าออกมาสู่สายตานักอ่านอย่างต่อเนื่องต่อไป

    ญามิตรามีนโยบายชัดเจนที่จะเน้นขายหนังสือราคาคุ้มค่า หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "ราคาประหยัด" นั้นเอง เพื่อให้นักอ่านทุกท่านมั่นใจได้ว่าจะได้อ่านหนังสือทุกเล่มของญามิตราในราคาไม่เกินร้อยบาทอย่างแน่นอน และจะตรึงราคานี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

    ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะคะ

    ขอเชิญติดตามความเคลื่อนไหวและติดตามอ่านเรื่องราวของเราได้ที่นี่ค่ะ









วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557



บทที่1
พื้นดินที่เคยทึบหนาไปด้วยต้นสับปะรดไกลสุดตา บัดนี้ดูโล่งเตียนทำให้บริเวณนั้นดูแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง ชายชรายืนมองผืนดินตรงหน้าด้วยแววตากังวล เขาแว่วเสียงรถดังมาแต่ไกล อีกไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงเบรกดังเอี๊ยดใกล้ ๆ ตัว ประตูรถถูกเปิดและปิดเสียงดังโครมใหญ่ ชายชราไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครเป็นคนขับ
“อ้าว ตาไผ่ มาอยู่นี่เอง โอ้โห ถางที่ซะเลี่ยนเตียนเลย เตรียมขายให้พ่อฉันใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มผิวดำ ร่างใหญ่ เอ่ยทีเล่นทีจริง
“ ข้าไม่ขายที่ให้ใครหรอก ไอ้แหลมเอ้ย” ตาไผ่พูดเสียงเครือ
“ไม่ขายให้ฉันแล้วตาก็ขายใครไม่ได้หรอก  ที่ติด ๆ กันนี้เขาขายให้พ่อฉันหมดแล้วนะ เหลือที่ของตาเป็นไข่แดงผืนเดียว ตาจะอยู่ได้ไง้” ไอ้แหลมหัวเราะเห็นฟันขาว
“จริงเรอะ ไอ้ทิดเมฆมันบอกข้าเมื่อวานนี้เองว่าไม่ขายที่ให้เอ็ง” ตาไผ่เสียงเข้ม
“โธ่ ไปเชื่ออะไรกับทิดเมฆ เขาเพิ่งรับเงินไปเมื่อเช้านี้เอง ป่านนี้เข้าเมืองไปเที่ยวสบายใจเฉิบแล้วล่ะ ตาอย่าไปหลงเชื่อเขาเลย”
“มันขายจริง ๆ เหรอ แล้วขายเท่าไรล่ะ” ตาไผ่ไม่อยากจะเชื่อคำพูดของไอ้แหลมแต่ก็ฟังดูมีเค้าลาง เมื่อเช้านี้เขาเห็นทิดเมฆเดินยิ้มกริ่มแต่งตัวหล่อเข้าเมือง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแกและเดินเลยผ่านไป
“ก็เท่าที่เราเคยคุยกันแหละ ไร่ละสี่หมื่น เอางี้ละกัน พ่อฉันฝากมาบอกว่าเห็นตาไผ่เป็นคนเก่าคนแก่แถวนี้ เพิ่มให้เป็นไร่ละสี่หมื่นหนึ่งละกัน ขาดตัวแล้วนะ คุยกันง่ายๆ จะได้จบเสียที”
“ฮึ ขายได้ไงไร่ละสี่หมื่นหนึ่ง ถูกเกินไป” ตาไผ่ส่ายหน้า
“ไม่ขายก็ตามใจ อีกหน่อยราคานี้ฉันก็ไม่ซื้อแล้ว จะบอกให้นะตาไผ่ ที่ตาไม่มีราคาอะไร ที่สปก.ขายใครก็ติดคุก ธนาคารก็ไม่เอา คนอื่นก็ไม่เอาหรอก อย่าไปหวังขายคนเมืองเลย  ไม่มีใครไว้ใจเราหรอก ที่ไม่มีโฉนดโกงกันได้อยู่แล้ว แต่ฉันไว้ใจตาไผ่ ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าไม่ขายก็ตามใจ ตาเก็บไว้คนเดียวเหอะ ได้ข่าวว่าตาต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ พรุ่งนี้ให้โอกาสอีกวันไม่ขายก็ไม่ต้องขาย”  ไอ้แหลมทำเสียงรำคาญเต็มที แล้วเดินไปเปิดปิดประตูรถเสียงดังโครม ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งตาไผ่ยืนมองที่ดินตัวเองตาปริบๆ
“เฮ้อ..ขายให้มันสี่หมื่นหนึ่ง กดราคากันเกินไป ที่ตรงอื่นเขาขายกันไร่ละ หกเจ็ดหมื่นทั้งนั้น แล้วไอ้ทิดเมฆทำไมดันมาหักหลังกันซะดื้อ ๆ นัดกันแล้วว่าจะไม่ยอมขาย จะต่อรองให้ถึงที่สุด ไอ้ทิดเมฆเอ๊ย” ตาไผ่บ่นพึมพำ แกค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งกลับบ้านหลังเล็กที่อยู่เกือบท้ายไร่ ในใจคิดถึงหนี้ก้อนโตที่แกกู้กำนันมารักษายายเพลงเมียแกถึงหนึ่งแสนบาท โชคยังร้ายไม่พอไร่สับปะรดที่ลงทุนก็เสียหายหมดเพราะไม่มีเวลาดูแล หนำซ้ำลูกชายคนโตเพิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเนื่องจากเสียพนันฟุตบอลมหาศาล จนสุดท้ายเจ้ามือก็ประกาศจะส่งคนมาฆ่าถ้าไม่ไปจ่ายหนี้พนันให้หมดภายในสิ้นเดือนนี้ รวมหนี้สิ้นทั้งหมดก็สี่แสนบาท ตาไผ่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
 “ไอ้ไพรเอ๊ย เอ็งหาเรื่องเดือดร้อนแท้ ๆ ” ตาไผ่ยังบ่นพึมพำไปตลอดทาง คิดถึงวันที่ไปเยี่ยมลูกชายที่หลบซ่อนในไร่ลึกของเพื่อนคนหนึ่ง
            “พ่อ ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบอลมันจะแพ้ เพราะไอ้เวกมันแนะนำฉันกี่ครั้งก็ได้ทุกครั้ง ฉันเล่นครั้งแรกไป ห้าหมื่นฉันก็ได้เลยเล่นอีกครั้งก็ได้อีกห้าหมื่น พอได้เงินฟรี ๆ มาแสนหนึ่ง ไอ้เวกบอกว่าให้ทุ่มสุดตัวไปเลยสามแสน เล่นครั้งเดียวแล้วเลิกจะได้เอาเงินไปซ่อมบ้าน ฉันยังถามมันว่าถ้าเสียขึ้นมาจะทำอย่างไรเพราะไม่มีเงินจ่ายนะ ไอ้เวกมันบอกว่าจะกลัวอะไร ที่เล่นมาสองครั้งเคยพลาดที่ไหน เซียนบอกว่าชนะชัวร์ ฉันก็เลยเชื่อมัน กะจะได้เงินก้อนใหญ่” ไพรน้ำตาร่วงเมื่อเห็นหน้าผู้เป็นพ่อ
“เอ็งก็ช่างเชื่อไอ้เวกได้ มันติดการพนันทุกอย่าง ถ้ามันรู้จริงป่านนี้มันคงรวยไปแล้วล่ะ เห็นไหมล่ะว่าเดือดร้อนขนาดไหน ถ้าเขาตามมาฆ่าเอง แล้วมันจะคุ้มกับชีวิตเอ็งไหม” ตาไผ่มองลูกชายแสนซื่ออย่างอ่อนใจ
“พ่อช่วยหาเงินมาจ่ายหนี้ให้ฉันทีเหอะ ไม่งั้นฉันคงตายแน่ ๆ นี่ฉันหนีมาแอบอยู่ในไร่ลึกขนาดนี้ ยังมีคนมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามหาฉันเลย เจ้ามือคงจะส่งคนมาฆ่าแน่ ๆ เลย แต่ไอ้เวกบอกเจ้ามือคนนี้เขาโหด เขาไม่ให้ลูกหนี้ตายง่าย ๆ คงทรมานอย่างแสนสาหัส” ไพรเอ่ยทั้งน้ำตา
“ข้าจะเอาเงินที่ไหนล่ะ ที่ดินเราไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย มีพ่อไอ้แหลมก็กดราคาเหลือเกิน แล้วถ้าขายที่ไปแล้ว ต่อไปไม่รู้จะทำอะไรกิน คราวนี้อดตายกันหมดแน่” ตาไผ่ถอนใจเฮือกใหญ่ หลังกลับจากเยี่ยมลูกชายแกก็นอนไม่หลับมาหลายคืน นี่แกส่งข่าวไปถึงลูกสาวที่ไปทำงานในตัวเมืองให้รีบกลับบ้านเสาร์นี้ แกอยากปรึกษาเรื่องที่ดินผืนสุดท้ายนี้ว่าจะทำอย่างไรดี  จะบอกขายที่ก็ไม่รู้จักใครเลย คนแถวนี้ที่รู้จักกันก็ไม่มีใครมีเงิน ต่างคนต่างจนเหมือนๆ กัน มีก็แต่พ่อไอ้แหลมที่มีเงินกว้านซื้อที่แทบจะหมดหมู่บ้านอยู่แล้ว เสียแต่ว่ากดราคาต่ำเหลือเกิน
            ตาไผ่นอนก่ายหน้าผากกระสับกระส่าย หาทางออกชีวิตไม่เจอเลย  คิดถึงนางเพลงเมียของแกที่ตายจากไปเมื่อต้นปีด้วยโรคร้าย ตาไผ่เสียเงินเสียทองรักษานางมากมายจนต้องแบ่งขายที่ให้พ่อไอ้แหลมไปห้าไร่ เหลือที่ดินอีกห้าไร่สุดท้าย แกตั้งใจว่าจะยึดไว้เป็นเรือนตาย ก็มีอันวิบัติจะต้องขายเสียอีก
            “ไอ้ทิดเมฆบอกว่าจะต้องพยายามขายให้ได้ไร่ละแปดหมื่นถึงจะได้สี่แสนบาทครบพอดีกับการใช้หนี้กำนันกับหนี้ไอ้ไพร แล้วนี่ข้าจะไปขายให้ใครได้วะ ไอ้ไพรเอ๊ย หรือเอ็งจะต้องตายซะแล้ว เฮ้อ กลุ้มจริงโว้ย” ตาไผ่ถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนจะนอนกระสับกระส่ายจนค่อนรุ่งแล้วเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
            รถสองแถวจากในเมืองจอดหน้าสถานที่ที่เคยเป็นไร่สับปะรดซึ่งบัดนี้กลายเป็นพื้นที่เตียนโล่ง หญิงสาวแบกเป้โดดลงจากรถด้วยความงงงวย มองไร่โล่งกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอเดินตัดไร่ไปที่บ้านหลังเล็กเกือบอยู่ท้ายไร่ใจคอไม่ค่อยดีนัก
            “พ่อ พ่อ ชะอมมาแล้วจ้า พ่อ พ่อ” เธอยื่นหน้าเข้าไปร้องเรียกในบ้าน ขณะถอดรองเท้าอยู่ที่หน้าประตู
            “เออ เออ” เสียตาไผ่ร้องตอบลูกสาวด้วยเสียงสั่นเครือ
            “นี่มันอะไรกันล่ะพ่อ ไถไร่จนโล่งเตียน มันหมดหน้าสับปะรดก็ไม่ใช่ ฉันเกือบเลยไร่ตัวเองไปซะแล้ว ” ชะอมวางเป้ลงและนั่งบนแคร่หน้าบ้าน
            “ก็ถางที่เตรียมจะขายแหละ ไร่สับปะรดไม่ได้ผลผลิตเลย ข้ากับไอ้ไพรไม่มีเวลาดูแล แล้วนี่ไอ้ไพรติดหนี้พนันบอลอีกสามแสนบาท ข้าถึงต้องเรียกเอ็งกลับบ้านมาปรึกษานี่แหละ” ชะอมฟังเรื่องราวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
            “อะไรนะพ่อ พี่ไพรเป็นหนี้บอลสามแสนบาทเหรอ โอย ตายแล้ว ตอนนี้พี่ไพรหนีไปอยู่ไหนล่ะ” ชะอมหน้าเครียดขึ้นทันที
            “หนีไปซ่อนตัวอยู่กับไอ้เวกเพื่อนรักมันแหละ เขาจะส่งคนไปฆ่ามันอยู่แล้ว ข้าถึงกลุ้มอยู่นี่แหละ ข้าถึงต้องพยายามหาเงินสามแสนไปจ่ายหนี้ให้มัน แถมยังถึงกำหนดที่ต้องคืนเงินกู้กำนันมาอีกแสนหนึ่งด้วย รวมแล้วหนี้สินตอนนี้สี่แสนบาทแน่ะชะอมเอ๊ย ข้ายังไม่รู้จะหาจากไหนเลย ก็ว่าจะขายที่นี่แหละ” ตาไผ่เดินมานั่งบนแคร่ใกล้ ๆ ลูกสาว
            “ใครเขาจะซื้อล่ะพ่อ ที่เราไม่มีโฉนด” ชะอมถอนใจ
            “ก็นั่นนะซิ มีแต่พ่อไอ้แหลมแหละที่รับซื้อ แต่มันกดราคาเหลือเกิน ขายไปก็ไม่พอใช้หนี้เลย”
            “เวรกรรมแท้ ๆ ว่าแต่ว่าถ้าพ่อขายที่แล้ว เราจะไปทำอะไรกิน ลำพังฉันทำงานเป็นลูกจ้างเขา ก็แทบไม่พอกินแล้วนะพ่อ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย” ชะอมนั่งกอดเข่าอย่างกลัดกลุ้ม
            “เอาไว้คิดทีหลังเถิด ตอนนี้คิดแต่ว่าจะเอาที่ไปขาย แล้วหาเงินไปไถ่ชีวิตไอ้ไพรมาก่อน เอ็งช่วยคิดทีเถอะว่าจะไปขายใครดีที่ให้ราคาดีกว่านี้”
            “พวกคนกรุงเทพฯก็มีมาซื้อที่แถวนี้เหมือนกันนะพ่อ เห็นเขาเล่าว่าช่วงนี้คนกรุงเทพฯ เขากลัวน้ำท่วม เลยมากว้านซื้อที่ดินกันเยอะแยะ แล้วก็มีคนในเมืองเขาก็ซื้อไว้เก็งกำไรขายให้คนกรุงเทพฯอีกต่อหนึ่ง เห็นคนในร้านที่ฉันทำงานเขาคุยกันว่าช่วงนี้ที่ดินราคาขึ้นกันหมด  เดี๋ยวฉันจะลองไปถามให้ก่อน เคยได้ยินเขาซื้อกันไร่ละหกหมื่น แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี แล้วใครจะโง่มาซื้อไร่ละแปดหมื่นล่ะพ่อ”
            “ข้าก็ได้ยินเขาลือกันว่าขายได้ราคานั้นเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาซื้อสักคน รออยู่เหมือนกัน ชะอมเอ๊ย.. ข้าร้อนใจมากเลย เอ็งช่วยรีบไปบอกขายเถิด หาคนซื้อให้ได้เร็วที่สุด ได้แค่นั้นก็เอามาก่อนดีกว่า ไม่งั้นไอ้ไพรตายแน่เลย ข้าสังหรณ์ใจ”
            “จ้ะพ่อ แต่ไม่ใช่ขายกันง่าย ๆ นะพ่อ ต้องอาศัยความไว้ใจมากเลย เพราะที่ สปก. มันโอนให้ใครไม่ได้นอกจากมอบสืบทอดมรดกให้ทายาทเท่านั้น ต้องเป็นลูกสาว ลูกชาย ไม่มีใครยอมซื้อแพง ๆ หรอก เพราะกลัวเราโกง”
            “แต่ข้าไม่เคยโกงใครเลยนะ”
            “ฉันเชื่อพ่อ แต่ใครจะเชื่อเราล่ะพ่อ เขาไม่รู้จักเรา” ชะอมนอนค้างที่บ้านเพียงคืนเดียว รุ่งเช้าก็รีบนั่งรถเข้าเมืองเพื่อไปหาทางขายที่ให้พ่อ เธอมองเห็นอนาคตข้างหน้าดูลำบากยากเข็ญยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าพ่อขายที่ไปแล้ว พ่อก็ไม่มีอาชีพอีกต่อไป เธอจะต้องหาเงินค่าใช้จ่ายให้พ่อ ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้พ่อด้วย แล้วค่อยขยับขยายหาที่ดินสักแปลงให้พ่อทำไร่ของพ่อต่อไป พ่อไม่ชอบอยู่ในเมืองแน่นอน  ยิ่งคิดก็ยิ่งมึน เธอคิดไม่ออกเลยว่ารายได้จากการเป็นลูกจ้างอันน้อยนิดของเธอเวลานี้จะพอค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างไร ชะอมนึกเสียดายที่ตัวเองเรียนไม่จบปริญญาตรี ต้องหยุดการเรียนกลางครันเพราะไม่มีเงินเรียนต่อ ซ้ำยังต้องดูแลแม่ เมื่อครอบครัวไม่มีเงินเธอต้องออกมาหางานทำเป็นลูกจ้างร้านอาหารในเมือง
            “ที่ดินไม่มีโฉนด ขายยากนะชะอม”  เจ๊ใหญ่ เจ้าของร้านอาหารบอกเธอหลังจากเธอไปปรึกษาเรื่องการขายที่กับเจ๊ใหญ่ ซึ่งรู้จักคนมากมาย เจ๊ใหญ่ออกไปถามไถ่นายทุนหลายคนที่เธอรู้จักแต่ทุกคนก็ไม่อยากได้
            “พวกนั้นบอกว่าไม่รู้จะซื้อไปทำไม นอกจากอยากทำไร่จริงๆ ขนาดเจ๊ไปลองถามเฮียศักดิ์เจ้าของตลาดที่งกเงินที่สุด เฮียศักดิ์มันบอกไม่เอาหรอก ที่แบบนี้ซื้อไปมีแต่เงินไปจม ไม่มีกำไร แต่มันทิ้งท้ายไว้นะ ยกเว้นแต่ซื้อที่แล้วแถมชะอมเท่านั้น เฮียศักดิ์มันบอกมันซื้อเลย ไอ้นี่มันชีกอจริงๆ นะ” เจ๊ใหญ่พูดขำ ๆ แต่ชะอมไม่ขำ คิดถึงเฮียศักดิ์อายุเกือบเท่าพ่อเธอ อ้วนเพละพุงพลุ้ย เวลามากินข้าวที่ร้านทีไรก็จะกระซิบบอกเธอว่า “ ชะอม จะทำงานให้เหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยทำไม มาเป็นเมียเฮียดีกว่า สบายไปตลอดชาตินะ อยากได้อะไรเฮียให้หมดเลย” ชะอมฟังแล้วคลื่นเหียนแต่ก็ยังฝืนยิ้มหวานให้เฮียศักดิ์ เพราะถือเป็นลูกค้าประจำ และเขาจะติ๊บเธอครั้งละร้อยบาทด้วยความเสน่หาทุกคราวไป





วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557




ถ้าชีวิตไม่มีใครให้กอด..ขอแนะนำให้กอดแมว
 เพราะแค่มีแมวสักตัวโลกก็เปลี่ยน..
เพราะแมวจอมกวนจะป่วนเรา 
แมวทำให้เราหายเหงา.. 
แมวทำให้เราฮา 
ทำให้เราสุข ทำให้เราสนุก.. 
และทำให้เราเสียน้ำตาวันที่แมวจากเราไป 
และทั้งหมดนี้คือความสุขที่สุดของคนรักแมว...

สั่งซื้อ "โลกไม่เหงา...ถ้าเรากอดแมว" ราคาสุดคุ้มค่า 49 บาทเท่านั้น ได้แล้ววันนี้ที่


http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNjU1ODk4IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMTc3NjgiO30


วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557



บทที่ 1
            ถนนข้างหน้ามัวหม่นจนเหมือนมีม่านบังตา ทำให้มองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น แม้ใบปัดน้ำฝนจะถูกปรับระดับความเร็วสูงสุด แต่ก็แทบไม่ช่วยปัดกวาดน้ำฝนที่ตกกระหน่ำผ่านหน้ากระจกรถได้เลย หญิงสาวพยายามควบคุมพวงมาลัยรถอย่างสุดความสามารถ เสียงโทรศัพท์มือถือดังทอดยาวอยู่เป็นระยะ และเงียบหายไป อีกสักครู่ก็ดังขึ้นอีก เธอไม่รับสาย  และไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมาดูคำว่า missed call  เพราะเธอรู้ดีว่าเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์สายนี้เป็นของใคร
            “ฉันสั่งให้แกกลับบ้านเดี๋ยวนี้ !! ได้ยินไหม” เสียงตะโกนด้วยความโมโหสุดขีดดังจากโทรศัพท์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
            “ไม่ค่ะ....มินท์จะไม่กลับบ้าน” เธอตะโกนตอบกลับไป อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอกล้าตะโกนตอบโต้พ่อ
            “ ขับรถฉันกลับมาเดี๋ยวนี้ แกขับรถไม่แข็ง เดี๋ยวก็ไปชนใครเขาหรอก”
            “ที่พ่อโทรมาเพราะห่วงรถที่พ่อรักใช่ไหมคะ..ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ มินท์จะขับอย่างดี ถึงรถจะเก่า แต่มินท์จะไม่ทำให้มีแม้แต่รอยบุบสลาย แต่ถ้าจะมีรอยบ้างพ่อก็ต้องทำใจ”
เธอสวนกลับไปด้วยถ้อยคำที่คิดว่าจะทำให้พ่อโมโหได้มากที่สุด ทั้งที่ความจริงแล้วเธอแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาพ่อ
            “กลับบ้านมาเดี๋ยวนี้เลย......ฉัน” พ่อยังพูดไม่ทันจบ เธอก็วางสายลงและไม่ยอมรับสายพ่ออีกต่อไป เธอขับรถด้วยความเร็วไม่มากนัก  ขับไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ไม่นานนักฝนก็เริ่มซาเม็ดลง ทำให้พอมองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น  มือใหม่หัดขับอย่างเธอจึงเริ่มคลายความกังวลลง และขับรถเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจมากขึ้น เธอเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน เติมน้ำมันจนเต็มถัง เงินสดในกระเป๋าสตางค์ร่อยหรอลงไปแต่ก็ยังพอสำหรับจะหาที่พักสักคืนได้สบายๆ
            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีก  เสียงเรียกเข้าครั้งนี้บอกให้รู้ว่าไม่ใช่พ่อ เธอยิ้มอย่างดีใจ คนที่เธอกำลังรอคอยโทรมาแล้ว
“ปอนด์...โทรมาพอดีเลย..มินท์กำลังทุกข์ใจมากเหลือเกิน..มินท์..” เธอรัวคำพูดใส่โทรศัพท์
            “นี่หนู เออ.. ขอโทษด้วยนะ ฉันเป็นพ่อของตาปอนด์ คืออย่างนี้นะหนู.. เมื่อกี้พ่อของหนูโทรมาหาตาปอนด์ ด่าว่าตาปอนด์เสียๆ หายๆ มากเลยว่ามายุยงให้หนูหนีออกจากบ้าน แถมยังด่าว่าฉันอีกว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ดูแลลูก ฉันแค่อยากโทรมาบอกหนูว่าให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับตาปอนด์สักพักเถิดนะ เรื่องมันจะได้จบๆ ไปเสียที ตอนนี้เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว พ่อหนูเขาบอกฉันว่าหนูกับตาปอนด์น่าจะมีอะไรกันแล้ว ฉันจะต้องรับผิดชอบ..ฉันก็ตอบเขาไปตามตรงว่าเด็กมีอะไรกันจะมาโทษลูกชายฉันฝ่ายเดียวคงไม่ได้หรอก..ก็ต้องโทษพ่อหนูด้วย.....”
            มินตราไม่ได้ฟังอีกต่อไป เธอวางสายลงและปิดเครื่องโทรศัพท์ หัวใจเหมือนแตกสลายลงไปแล้วกับถ้อยคำที่ได้ยินทั้งหมด พ่อได้ทำลายทุกอย่างจนหมดสิ้น คิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่พ่อไม่ยอมฟัง ไม่ยอมถาม เชื่อทุกอย่างตามความคิดของตัวเอง แม้เธอจะพยายามจะอธิบาย แต่พ่อไม่เปิดโอกาสให้เธอพูดอะไรสักคำเดียว
            “ พอเหอะ... แล้วนี่อะไรฉันเจอในห้องแก มีมากมายหลายชิ้นจนเกินพอ” พ่อโยนห่อสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก ๆ ใส่หน้าเธอ
            “ฉันส่งแกไปเรียน ไมได้ให้ไปซื้อถุงยางไว้นอนกับผู้ชาย..ไอ้ปอนด์ใช่ไหม ฉันอายจริงๆ มีลูกสาวอย่างแก” พ่อเดินออกจากห้องของเธอไปด้วยความโกรธจัด
            มินตราก้มหน้าร้องไห้โฮ...หากเป็นคนอื่นพูดเธอคงไม่เสียใจมากมายขนาดนี้ แต่นี่คือพ่อของตัวเอง พ่อที่ควรจะรักเธอมากที่สุดและเชื่อใจเธอมากที่สุด เธอตอบโต้พ่อด้วยการคว้ากุญแจรถของพ่อและขับรถหนีออกจากบ้านมาด้วยความโมโห พ่อจะต้องโกรธเธอและที่สำคัญพ่อจะต้องห่วงรถมาก ซึ่งก็จริงดังคาด หลังจากเธอขับรถออกจากบ้านมาได้ไม่กี่นาที พ่อก็โทรศัพท์หาเธอไม่หยุด
             “จะไปไหนดีนะ” ตอนแรกมินตราคิดว่าจะไปหาปอนด์ ให้เขาพาเธอไปที่ไหนสักแห่ง แต่ตอนนี้พ่อได้ตัดปอนด์ออกจากชีวิตเธอเสียแล้ว ซึ่งพ่อคงอยากทำมานานแล้ว ตอนนี้เธอไม่เหลือใครให้พึ่งพาได้อีกเลย  เธอรู้สึกทั้งโกรธและโมโหพ่ออย่างถึงขีดสุด และไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี
เป็นครั้งแรกที่เธอคิดถึงปอนด์เหลือเกิน เขาเป็นเพื่อนชายที่สนิทที่สุด จนเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยคิดว่าปอนด์เป็นแฟนเธอ แม้จะไม่เคยตอบรับหรือปฏิเสธกับเรื่องนี้ เพราะตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าปอนด์จะอดทนพอที่ผ่านด่านพ่อไปได้หรือเปล่า เธอเดาออกว่าพ่อคงไม่ปลื้มผู้ชายอย่างปอนด์แน่นอน เขาเรียนคณะศิลปกรรม เป็นหนุ่มมาดอาร์ติสท์ขนานแท้ ไว้ผมยาวและมัดรวบผมไว้ด้านหลัง  เขาอาจดูเป็นหนุ่มเท่บาดหัวใจใครต่อใครทั่วมหาวิทยาลัย แต่กลับดูแย่เหลือเกินในสายตาของพ่อตั้งแต่เห็นปอนด์ครั้งแรก
“ผู้ชายอะไร้...ไว้ผมยาว ทำเป็นผู้หญิงไปได้  รูปร่างก็ผอมเหมือนคนอดอาหาร ดูไม่ได้เลย ” พ่อใช้สายตาทหารพิจารณาปอนด์ราวกับคัดเลือกทหารเกณฑ์ แต่มินตราก็ยังคบปอนด์ต่อไป พ่อไม่ได้ห้ามแต่ก็ไม่ได้ส่งเสริม และมีทีท่าไม่เป็นมิตรกับปอนด์ทุกครั้งที่พบกัน แต่ไม่ว่าพ่อจะแสดงออกอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้ปอนด์ถอยห่างจากมินตรา
            เธอไม่รู้ว่าจะเรียกปอนด์ว่าแฟนได้หรือเปล่า ทั้งเธอและเขาไม่เคยมีฉากหวานชื่นครบสูตรเหมือนคู่รักคนอื่นๆ เลย ชีวิตมินตราถูกเลี้ยงให้อยู่ในกรอบ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกสอนให้เป็นคนมีระเบียบ ตื่นนอนตรงเวลา พ่อไปรับและไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน  ก่อนนอนก็ต้องทบทวนตำรา เธอจึงเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอด
เมื่อเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ถึงพ่อไม่ได้มารับมาส่ง แต่เธอก็ยังต้องกลับบ้านตรงเวลา พ่อยอมผ่อนปรนให้เธอกลับบ้านได้ไม่เกินสองทุ่ม  เธอจึงไม่ได้มีเวลาเถลไถลมากนัก ซึ่งนอกเหนือจากเวลาเรียน ถ้ามีเวลาว่างเธอมักชอบทำกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ แต่จะเน้นกิจกรรมที่ทำเวลากลางวันหรือตอนเย็นเท่านั้น  ในวันธรรมดา เธออาจจะพอมีเวลากินข้าวเย็นกับปอนด์ แต่นั่นหมายถึงไม่มีเวลาดูหนังกันต่อ แต่ถ้าจะดูหนังก็ต้องไม่กินข้าวเย็น เวลาใกล้ชิดกันจึงมีจำกัดแค่นั้น เขาเคยจับมือเธอตอนข้ามถนนไม่กี่ครั้ง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรสวีตกันมากมาย  ชีวิตของเธอกับปอนด์จะพบกันเป็นประจำที่มหาวิทยาลัย  คุยกันเรื่องเรียนบ้าง เรื่องชีวิตหลังจบมหาวิทยาลัยบ้าง มินตรายอมรับว่าเธอรู้สึกอบอุ่นใจที่มีปอนด์อยู่ข้างๆ เสมอ.... แต่ตอนนี้พ่อได้ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเธอกับปอนด์จนหมดสิ้นแล้ว
คำพูดของพ่อที่บอกว่าปอนด์มีอะไรกับเธอนั้น นอกจากจะทำร้ายจิตใจเธอแล้ว ยังทำลายความรู้สึกดีๆ ที่พ่อของปอนด์มีต่อเธออีกด้วย ฟังจากน้ำเสียงที่แสนจะเย็นชาอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน  แสดงว่าพ่อของปอนด์คงคิดเช่นกันว่าเธอกับปอนด์อาจจะมีอะไรกันแล้วจริงๆ  ซึ่งทำให้เธอดูไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวยุคใหม่ทั่วไป ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ วันนี้เธอคงไปหาปอนด์ไม่ได้แล้ว เพราะพ่อแท้ๆ เลยที่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
มินตราขับรถไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงบ้านเพื่อนสนิท อ้อม กับ พิณ แต่ป่านนี้พ่อคงโทรไปหาสองคนนั้นแล้ว  แต่ทั้งอ้อมและพิณกลัวพ่อเหลือเกิน  อย่าว่าแต่จะให้เธอนอนค้างที่บ้านเลย ตอนนี้แค่รับสายโทรศัพท์ก็คงยังไม่กล้ารับ ครั้งหนึ่งมินตราไปทำรายงานที่บ้านอ้อมจนดึกดื่น อ้อมใจดีชวนเธอค้างคืนที่บ้าน แต่มินตราไม่กล้าโทรไปขอพ่อ
“โอ๊ย..แกจะกลัวอะไรนักหนา แกมาทำรายงาน ไม่ได้ไปเที่ยวไหน มา ฉันจะโทรให้เอง” อ้อมอาสาโทรไปขออนุญาตพ่อให้มินตรา  “สวัสดีค่ะ คุณพ่อเหรอคะ คือพวกหนูกำลังทำรายงานกันอยู่ค่ะ แล้วรายงานยังไม่เสร็จเลย จำเป็นต้องค้างคืนจะได้ช่วยกันทำให้เสร็จภายในคืนนี้ค่ะ ขออนุญาตให้มินท์ค้างคืนที่บ้านหนูด้วยนะคะ” อ้อมมีสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อพูดประโยคแรกจบ คาดหวังว่าจะได้รับคำยินยอม แต่ผิดคาด อ้อมเริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ เมื่อได้ฟังเสียงตอบมาตามสายจากพ่อ
“ฉันว่าแกกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยมินท์ เดี๋ยวเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ รายงานที่เหลือฉันกะไอ้พิณจะจัดการเอง แกไม่ต้องห่วง” อ้อมทำหน้าเซ็งๆ  มินท์พยายามถามว่าพ่อพูดอะไรบ้าง แต่อ้อมไม่เคยเล่าให้ฟัง
            “ไม่มีที่ไปเลย”  มินตราถอนใจ คนที่เขาเบื่อบ้าน เขาหนีไปไหนกันนะ เธอพิงศีรษะบนเบาะคนขับอย่างอ่อนใจ ขนาดมีรถทั้งคัน ก็ยังไม่รู้จะขับไปหาใคร “ทำไมชีวิตฉันมันน่าเศร้าขนาดนี้นะ ญาติสนิทสักคนก็ไม่มี เพื่อนฝูงก็แทบไม่มี แค่ที่ค้างคืนพักใจสักคืนก็ยังหาไม่ได้”  ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่
“แต่ยังไงคืนนี้ฉันก็จะไม่ยอมกลับบ้าน เป็นไงเป็นกันสิ” มินตราเกิดทิฐิขึ้นมาอีก เมื่อคิดถึงคำพูดของพ่อเมื่อตอนเย็น เธอจะต้องทำให้พ่อนอนไม่หลับบ้าง เธออยากให้พ่อกลุ้มใจเพราะพ่อนั่นแหละเป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด...
            มินตราขับรถผ่านถนนหลายสาย และเริ่มคิดออกว่ามีเพื่อนบางคนเคยเล่าว่ามีที่พักมากมายแบบรายวัน คืนนี้เธอจึงตัดสินใจว่าจะลองหาที่พักแบบง่ายๆ ที่เก็บค่าเช่ารายวัน เพื่อพักสักคืน จะได้มีเวลาอยู่ห่างจากพ่อบ้างน่าจะดีกว่ากลับไปทะเลาะกัน  ถนนเริ่มมืดลงทุกขณะ เธอไม่เคยขับรถตอนกลางคืนเลย ตอนพ่อสอนขับรถก็ให้ขับเฉพาะตอนกลางวัน จริงๆ แล้วพ่อไม่อยากให้เธอขับรถด้วยซ้ำ กลัวเธอจะขับรถไปชนคนอื่น และกลัวคนอื่นขับรถมาชนเธอ แต่ที่จำเป็นต้องสอนให้เธอขับรถเพราะพ่อกลัวว่าจะมีหนุ่มๆ มาอาสาขับรถให้เธอนั่ง พ่อมีความกลัวสารพัดและระแวดระวังภัยทุกอย่างรอบตัวเธอ รถคันนี้เป็นรถคันเก่าที่พ่อใช้ขับไปซื้อของใกล้ๆ บ้าน พ่อทำท่าจะยกให้เธอไว้ขับไปเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะกลัวว่าเธอจะขับรถไปชน และที่สำคัญพ่อกลัวว่าเธอมีรถแล้วจะขับเที่ยวจนเพลิดเพลินเกินไป
มินตราไม่เข้าใจพ่อเลย.. ทำไมพ่อถึงเข้มงวดกับเธอแทบทุกเรื่อง ยายเคยบอกเธอว่า ที่พ่อทำทั้งหมดเพราะพ่อรักเธอที่สุด ตั้งแต่แม่ตายไป พ่อทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ ดูแลเธอทุกอย่างด้วยความเข้มงวด ยายบอกว่าที่พ่อทุ่มเทเวลาดูแลเธออย่างดีที่สุดเพราะพ่อรู้สึกผิดที่ไม่เคยมีเวลาดูแลแม่เธอเลย พ่อจึงพยายามชดเชยความผิดของตัวเองด้วยการดูแลเธออย่างดีที่สุด.. ซึ่งมันล้นเกินจนมินตราแทบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
ยายเคยบอกว่ายายสงสารพ่อ เพราะการทำตัวเป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับชายชาติทหารอย่างพ่อ  ซึ่งเคยชินกับชีวิตที่ต้องเข้มแข็งอดทน การกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ แต่ขณะเดียวกันกลับทนที่จะเห็นลูกสาวคนเดียวลำบากไม่ได้ พ่อจึงทำทุกอย่างเพื่อลูก และปกป้องลูกมากจนมินตรากลายเป็นคนอ่อนแอเกินไป แต่ก็น่าแปลกใจ พอถึงบทจะเข้มแข็งเธอก็กล้าหาญดื้อดึงขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน จนพ่อต้องยอมแพ้เธอ  
มินตรามีความอ่อนแอ อ่อนโยน อ่อนหวาน ตามนิสัยผู้หญิงทั่วไป  แต่ถูกเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนในแบบผู้ชายที่เข้มแข็งอย่างพ่อ จะว่าไปแล้วก็นับเป็นเรื่องดีที่เธอมีบุคลิกสองด้านที่ผสมผสานกัน เธอมีบุคลิกอ่อนหวาน แต่ก็กลับเป็นสาวลุยไปไหนไปกันไม่ขี้บ่น   เป็นสาวเข้มแข็งแต่ก็อ่อนโยน  เธอไม่ใช่สาวสวยน่ารำคาญที่ช่างเอาแต่ใจตัวเอง  ด้วยการอบรมสั่งสอนดูแลของณฤทธิ์ผู้เป็นพ่อที่ทั้งห่วงทั้งหวงลูกสาวของตัวเองอย่างมากมาย เขาจึงพยายามสร้างเกราะป้องกันให้ลูกสาวจนครบทุกด้าน
“จะว่าไป..ถ้าไม่มีพ่อสักคน ชีวิตฉันคงแย่แน่” มินตราเริ่มคิดทบทวนสิ่งดีๆ ที่พ่อทำให้เธอมาตลอด ความโกรธเมื่อครู่เริ่มทุเลาเบาบางลง เมื่อคิดถึงตอนเด็กๆ ที่เธอร้องอยากได้อะไร ถ้าหาได้พ่อจะหาให้ทันที  บางทีกลางดึก เธอก็ร้องอยากกินโน่นกินนี่ พ่อก็อุตส่าห์ตามใจ ขับรถออกไปหามาให้กินจนได้ พ่อซักเสื้อผ้า รีดชุดนักเรียนให้เธอ ทำกับข้าว พาเธอไปโรงเรียน สอนการบ้าน  และทำทุกอย่างเท่าที่พ่อทำได้  พ่อตามใจเธอทุกเรื่อง แต่มีเรื่องเดียวที่พ่อเข้มงวดที่สุดคือเรื่องผู้ชาย พ่อห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปค้างคืนที่ไหนก็ตามที่มีเพื่อนผู้ชายไปด้วย ห้ามอยู่กับผู้ชายทุกคนตามลำพัง
            “พ่อเป็นผู้ชาย พ่อรู้ดีว่าพวกผู้ชายคิดอะไร มินท์ต้องระวังตัวนะลูก อย่าไปอยู่กับผู้ชายสองต่อสองเป็นอันขาด ไม่ว่ากับอาจารย์หรือเพื่อนผู้ชายคนไหนทั้งนั้น” พ่อพร่ำสอนตั้งแต่เธอเริ่มโตเป็นสาว เธอฟังคำสอนนี้จนเบื่อ และไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะอันตรายอะไรนักหนากะแค่อยู่ใกล้ๆ ผู้ชาย
“ทำไมล่ะคะพ่อ”
            “ก็พวกผู้ชายบางคนไว้ใจไม่ได้หรอกลูก พอมีโอกาสเมื่อไร บางคนก็ชอบฉวยโอกาส” คำสอนของพ่อ แม้มินตราจะไม่ตั้งใจฟังนัก เพราะไม่เชื่อว่าว่าบรรดาอาจารย์ผู้ชายที่นักเรียนเคารพรัก หรือเพื่อนนักเรียนชายที่เรียนร่วมชั้นเรียนจะกล้าคิดหรือกล้าทำแบบนั้นได้ แต่เรื่องที่พ่อคอยเตือนอยู่เสมอก็เกิดขึ้นจริงกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของเธอ พ่อของเด็กสาวคนนั้นแทบจะไม่มีปากเสียงอะไร อาจารย์รักพงศ์ผู้เป็นตัวต้นเหตุแค่ถูกให้ออก โดยไม่ต้องรับโทษใดๆ   แต่ณฤทธิ์รู้เรื่องนี้ถึงกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  เขาถึงกับให้ลูกสาวลาออกและย้ายโรงเรียนทันที โชคดีที่เธอกำลังเรียนจบ ม. 3 พอดี จึงสามารถย้ายไปเรียนต่อ ม. 4 โรงเรียนใหม่ได้โดยไม่ต้องออกกลางครัน
            “ถ้าพ่อรู้ความจริงมากกว่านี้ อาจจะโกรธมากขึ้นอีกหลายเท่า”
เธอไม่เคยเล่าให้พ่อฟังว่าเธอเองเกือบจะเป็นเด็กโชคร้ายคนนั้น เพราะอาจารย์รักพงศ์เคยเรียกไปพบในห้องพักครูและชมเชยเรื่องการเรียนศิลปะของเธอ
“อาจารย์ว่าจะส่งหนูไปประกวดวาดรูปนะ หนูวาดรูปเก่งมาก” 
มินตรายิ้มอย่างปลื้มใจ แต่เมื่ออาจารย์ยื่นมือมาจับมือเธอบีบเบาๆ เธอเริ่มรู้สึกแปลกใจ
“แต่ก่อนจะส่งไปเป็นตัวแทนโรงเรียน หนูต้องวาดรูปมาให้กรรมการพิจารณาอีกครั้งนะ” สองมือของอาจารย์เริ่มเคลื่อนมาลูบหัวไหล่เธอเบา ๆ  ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่อาจารย์ต้องเอ็นดูเธอถึงขนาดต้องทำแบบนั้น
 “ค่ะ”  มินตราเริ่มไม่สบายใจนักกับการจับเนื้อต้องตัวเกินกว่าเหตุ  และก่อนที่มืออาจารย์จะเคลื่อนลงต่ำมาใกล้หน้าอก เธอก็สะบัดตัวเบี่ยงหลุดจากมืออาจารย์ได้ทันท่วงที
“หนูไม่ประกวดแล้วค่ะ” เธอตะโกนดังลั่น จนอาจารย์รักพงศ์ตกใจ เขาเหลียวไปมองรอบๆ กลัวว่าอาจารย์คนอื่นๆ ที่อยู่ห้องพักครูใกล้ ๆ จะได้ยิน หลังจากนั้นไม่กี่วัน มินตราก็ทราบว่าเด็กผู้หญิงอีกคนถูกส่งไปประกวดวาดภาพศิลปะแทนเธอ ได้ข่าวว่าอาจารย์รักพงศ์รับหน้าที่พาเด็กคนนั้นไปประกวดเอง โดยไปกันสองคน 
มินตราคิดว่าเธอโชคดีที่มีพ่อคอยเตือนเรื่องพวกนี้อยู่เสมอ แต่โชคร้ายอย่างเดียวในชีวิตของเธอก็คือการมีพ่อที่หวงห่วงและกังวลมากเกินไป...ยิ่งเธอโตมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเบื่อหน่ายความเข้มงวดของพ่อมากขึ้นเท่านั้น ระยะหลังมานี้เธอคุยกับพ่อน้อยลง แต่คุยกับปอนด์มากขึ้น เธออยากมีชีวิตอิสระเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง เพื่อนเกือบทุกคนจะไปเที่ยวไหน ค้างคืนบ้านเพื่อนก็ทำได้สบายๆ  แต่มินตราไม่เคยได้รับอนุญาตจากพ่อแม้แต่เพียงครั้งเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ
เธอคิดว่าเธออาจจะเป็นนักศึกษาปี 4  คนเดียวในมหาวิทยาลัยก็ได้ที่ไม่เคยไปค้างคืนที่ไหนเลย ไม่เคยไปงานรับน้อง ไม่เคยไปออกค่าย ไม่เคยไปทำกิจกรรมต่างจังหวัด  มินตราคิดทบทวนในใจหลายครั้งว่า น่าจะถึงเวลาที่เธอควรจะไปไหนตามใจตัวเองได้บ้าง แต่ยังไม่เคยกล้าพูดกับพ่อจริงจังสักที..พ่อเคยพูดว่าถ้าเธอเข้ามหาวิทยาลัย เรียนปี 1 เมื่อไร พ่อจะให้เธอดูแลตัวเอง เพราะถือว่าเธอโตแล้ว  นี่ผ่านมา 4 ปี  ชีวิตเธอยังเหมือนเดิมทุกอย่าง พ่อกับเธอยังไม่มีใครพูดกันถึงเรื่องนี้เลย จนมาเกิดเรื่องเมื่อเย็นนี้เสียก่อน ทำให้เธอรู้ว่าพ่อยังเห็นเธอเป็นเด็ก และที่ผ่านมาแสดงว่าพ่อไม่เคยไว้ใจเธอเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ มินตราเริ่มคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะมีสิทธิดูแลตัวเองเสียที
“ดีแล้ว.. เมื่อพ่อมองมินท์ในแง่ร้าย  คืนนี้จะปล่อยให้พ่อนอนคิดอะไรร้ายๆ เสียให้พอ” คืนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอจะไม่กลับบ้าน พ่อจะได้เป็นห่วง พอถึงพรุ่งนี้พ่อจะต้องดีใจที่เห็นหน้าเธอ และจะได้ใจเย็นพอจะฟังความจริงทั้งหมดจากเธอ