วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557



บทที่1
พื้นดินที่เคยทึบหนาไปด้วยต้นสับปะรดไกลสุดตา บัดนี้ดูโล่งเตียนทำให้บริเวณนั้นดูแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง ชายชรายืนมองผืนดินตรงหน้าด้วยแววตากังวล เขาแว่วเสียงรถดังมาแต่ไกล อีกไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงเบรกดังเอี๊ยดใกล้ ๆ ตัว ประตูรถถูกเปิดและปิดเสียงดังโครมใหญ่ ชายชราไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครเป็นคนขับ
“อ้าว ตาไผ่ มาอยู่นี่เอง โอ้โห ถางที่ซะเลี่ยนเตียนเลย เตรียมขายให้พ่อฉันใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มผิวดำ ร่างใหญ่ เอ่ยทีเล่นทีจริง
“ ข้าไม่ขายที่ให้ใครหรอก ไอ้แหลมเอ้ย” ตาไผ่พูดเสียงเครือ
“ไม่ขายให้ฉันแล้วตาก็ขายใครไม่ได้หรอก  ที่ติด ๆ กันนี้เขาขายให้พ่อฉันหมดแล้วนะ เหลือที่ของตาเป็นไข่แดงผืนเดียว ตาจะอยู่ได้ไง้” ไอ้แหลมหัวเราะเห็นฟันขาว
“จริงเรอะ ไอ้ทิดเมฆมันบอกข้าเมื่อวานนี้เองว่าไม่ขายที่ให้เอ็ง” ตาไผ่เสียงเข้ม
“โธ่ ไปเชื่ออะไรกับทิดเมฆ เขาเพิ่งรับเงินไปเมื่อเช้านี้เอง ป่านนี้เข้าเมืองไปเที่ยวสบายใจเฉิบแล้วล่ะ ตาอย่าไปหลงเชื่อเขาเลย”
“มันขายจริง ๆ เหรอ แล้วขายเท่าไรล่ะ” ตาไผ่ไม่อยากจะเชื่อคำพูดของไอ้แหลมแต่ก็ฟังดูมีเค้าลาง เมื่อเช้านี้เขาเห็นทิดเมฆเดินยิ้มกริ่มแต่งตัวหล่อเข้าเมือง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแกและเดินเลยผ่านไป
“ก็เท่าที่เราเคยคุยกันแหละ ไร่ละสี่หมื่น เอางี้ละกัน พ่อฉันฝากมาบอกว่าเห็นตาไผ่เป็นคนเก่าคนแก่แถวนี้ เพิ่มให้เป็นไร่ละสี่หมื่นหนึ่งละกัน ขาดตัวแล้วนะ คุยกันง่ายๆ จะได้จบเสียที”
“ฮึ ขายได้ไงไร่ละสี่หมื่นหนึ่ง ถูกเกินไป” ตาไผ่ส่ายหน้า
“ไม่ขายก็ตามใจ อีกหน่อยราคานี้ฉันก็ไม่ซื้อแล้ว จะบอกให้นะตาไผ่ ที่ตาไม่มีราคาอะไร ที่สปก.ขายใครก็ติดคุก ธนาคารก็ไม่เอา คนอื่นก็ไม่เอาหรอก อย่าไปหวังขายคนเมืองเลย  ไม่มีใครไว้ใจเราหรอก ที่ไม่มีโฉนดโกงกันได้อยู่แล้ว แต่ฉันไว้ใจตาไผ่ ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าไม่ขายก็ตามใจ ตาเก็บไว้คนเดียวเหอะ ได้ข่าวว่าตาต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ พรุ่งนี้ให้โอกาสอีกวันไม่ขายก็ไม่ต้องขาย”  ไอ้แหลมทำเสียงรำคาญเต็มที แล้วเดินไปเปิดปิดประตูรถเสียงดังโครม ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งตาไผ่ยืนมองที่ดินตัวเองตาปริบๆ
“เฮ้อ..ขายให้มันสี่หมื่นหนึ่ง กดราคากันเกินไป ที่ตรงอื่นเขาขายกันไร่ละ หกเจ็ดหมื่นทั้งนั้น แล้วไอ้ทิดเมฆทำไมดันมาหักหลังกันซะดื้อ ๆ นัดกันแล้วว่าจะไม่ยอมขาย จะต่อรองให้ถึงที่สุด ไอ้ทิดเมฆเอ๊ย” ตาไผ่บ่นพึมพำ แกค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งกลับบ้านหลังเล็กที่อยู่เกือบท้ายไร่ ในใจคิดถึงหนี้ก้อนโตที่แกกู้กำนันมารักษายายเพลงเมียแกถึงหนึ่งแสนบาท โชคยังร้ายไม่พอไร่สับปะรดที่ลงทุนก็เสียหายหมดเพราะไม่มีเวลาดูแล หนำซ้ำลูกชายคนโตเพิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเนื่องจากเสียพนันฟุตบอลมหาศาล จนสุดท้ายเจ้ามือก็ประกาศจะส่งคนมาฆ่าถ้าไม่ไปจ่ายหนี้พนันให้หมดภายในสิ้นเดือนนี้ รวมหนี้สิ้นทั้งหมดก็สี่แสนบาท ตาไผ่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
 “ไอ้ไพรเอ๊ย เอ็งหาเรื่องเดือดร้อนแท้ ๆ ” ตาไผ่ยังบ่นพึมพำไปตลอดทาง คิดถึงวันที่ไปเยี่ยมลูกชายที่หลบซ่อนในไร่ลึกของเพื่อนคนหนึ่ง
            “พ่อ ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบอลมันจะแพ้ เพราะไอ้เวกมันแนะนำฉันกี่ครั้งก็ได้ทุกครั้ง ฉันเล่นครั้งแรกไป ห้าหมื่นฉันก็ได้เลยเล่นอีกครั้งก็ได้อีกห้าหมื่น พอได้เงินฟรี ๆ มาแสนหนึ่ง ไอ้เวกบอกว่าให้ทุ่มสุดตัวไปเลยสามแสน เล่นครั้งเดียวแล้วเลิกจะได้เอาเงินไปซ่อมบ้าน ฉันยังถามมันว่าถ้าเสียขึ้นมาจะทำอย่างไรเพราะไม่มีเงินจ่ายนะ ไอ้เวกมันบอกว่าจะกลัวอะไร ที่เล่นมาสองครั้งเคยพลาดที่ไหน เซียนบอกว่าชนะชัวร์ ฉันก็เลยเชื่อมัน กะจะได้เงินก้อนใหญ่” ไพรน้ำตาร่วงเมื่อเห็นหน้าผู้เป็นพ่อ
“เอ็งก็ช่างเชื่อไอ้เวกได้ มันติดการพนันทุกอย่าง ถ้ามันรู้จริงป่านนี้มันคงรวยไปแล้วล่ะ เห็นไหมล่ะว่าเดือดร้อนขนาดไหน ถ้าเขาตามมาฆ่าเอง แล้วมันจะคุ้มกับชีวิตเอ็งไหม” ตาไผ่มองลูกชายแสนซื่ออย่างอ่อนใจ
“พ่อช่วยหาเงินมาจ่ายหนี้ให้ฉันทีเหอะ ไม่งั้นฉันคงตายแน่ ๆ นี่ฉันหนีมาแอบอยู่ในไร่ลึกขนาดนี้ ยังมีคนมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามหาฉันเลย เจ้ามือคงจะส่งคนมาฆ่าแน่ ๆ เลย แต่ไอ้เวกบอกเจ้ามือคนนี้เขาโหด เขาไม่ให้ลูกหนี้ตายง่าย ๆ คงทรมานอย่างแสนสาหัส” ไพรเอ่ยทั้งน้ำตา
“ข้าจะเอาเงินที่ไหนล่ะ ที่ดินเราไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย มีพ่อไอ้แหลมก็กดราคาเหลือเกิน แล้วถ้าขายที่ไปแล้ว ต่อไปไม่รู้จะทำอะไรกิน คราวนี้อดตายกันหมดแน่” ตาไผ่ถอนใจเฮือกใหญ่ หลังกลับจากเยี่ยมลูกชายแกก็นอนไม่หลับมาหลายคืน นี่แกส่งข่าวไปถึงลูกสาวที่ไปทำงานในตัวเมืองให้รีบกลับบ้านเสาร์นี้ แกอยากปรึกษาเรื่องที่ดินผืนสุดท้ายนี้ว่าจะทำอย่างไรดี  จะบอกขายที่ก็ไม่รู้จักใครเลย คนแถวนี้ที่รู้จักกันก็ไม่มีใครมีเงิน ต่างคนต่างจนเหมือนๆ กัน มีก็แต่พ่อไอ้แหลมที่มีเงินกว้านซื้อที่แทบจะหมดหมู่บ้านอยู่แล้ว เสียแต่ว่ากดราคาต่ำเหลือเกิน
            ตาไผ่นอนก่ายหน้าผากกระสับกระส่าย หาทางออกชีวิตไม่เจอเลย  คิดถึงนางเพลงเมียของแกที่ตายจากไปเมื่อต้นปีด้วยโรคร้าย ตาไผ่เสียเงินเสียทองรักษานางมากมายจนต้องแบ่งขายที่ให้พ่อไอ้แหลมไปห้าไร่ เหลือที่ดินอีกห้าไร่สุดท้าย แกตั้งใจว่าจะยึดไว้เป็นเรือนตาย ก็มีอันวิบัติจะต้องขายเสียอีก
            “ไอ้ทิดเมฆบอกว่าจะต้องพยายามขายให้ได้ไร่ละแปดหมื่นถึงจะได้สี่แสนบาทครบพอดีกับการใช้หนี้กำนันกับหนี้ไอ้ไพร แล้วนี่ข้าจะไปขายให้ใครได้วะ ไอ้ไพรเอ๊ย หรือเอ็งจะต้องตายซะแล้ว เฮ้อ กลุ้มจริงโว้ย” ตาไผ่ถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนจะนอนกระสับกระส่ายจนค่อนรุ่งแล้วเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
            รถสองแถวจากในเมืองจอดหน้าสถานที่ที่เคยเป็นไร่สับปะรดซึ่งบัดนี้กลายเป็นพื้นที่เตียนโล่ง หญิงสาวแบกเป้โดดลงจากรถด้วยความงงงวย มองไร่โล่งกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอเดินตัดไร่ไปที่บ้านหลังเล็กเกือบอยู่ท้ายไร่ใจคอไม่ค่อยดีนัก
            “พ่อ พ่อ ชะอมมาแล้วจ้า พ่อ พ่อ” เธอยื่นหน้าเข้าไปร้องเรียกในบ้าน ขณะถอดรองเท้าอยู่ที่หน้าประตู
            “เออ เออ” เสียตาไผ่ร้องตอบลูกสาวด้วยเสียงสั่นเครือ
            “นี่มันอะไรกันล่ะพ่อ ไถไร่จนโล่งเตียน มันหมดหน้าสับปะรดก็ไม่ใช่ ฉันเกือบเลยไร่ตัวเองไปซะแล้ว ” ชะอมวางเป้ลงและนั่งบนแคร่หน้าบ้าน
            “ก็ถางที่เตรียมจะขายแหละ ไร่สับปะรดไม่ได้ผลผลิตเลย ข้ากับไอ้ไพรไม่มีเวลาดูแล แล้วนี่ไอ้ไพรติดหนี้พนันบอลอีกสามแสนบาท ข้าถึงต้องเรียกเอ็งกลับบ้านมาปรึกษานี่แหละ” ชะอมฟังเรื่องราวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
            “อะไรนะพ่อ พี่ไพรเป็นหนี้บอลสามแสนบาทเหรอ โอย ตายแล้ว ตอนนี้พี่ไพรหนีไปอยู่ไหนล่ะ” ชะอมหน้าเครียดขึ้นทันที
            “หนีไปซ่อนตัวอยู่กับไอ้เวกเพื่อนรักมันแหละ เขาจะส่งคนไปฆ่ามันอยู่แล้ว ข้าถึงกลุ้มอยู่นี่แหละ ข้าถึงต้องพยายามหาเงินสามแสนไปจ่ายหนี้ให้มัน แถมยังถึงกำหนดที่ต้องคืนเงินกู้กำนันมาอีกแสนหนึ่งด้วย รวมแล้วหนี้สินตอนนี้สี่แสนบาทแน่ะชะอมเอ๊ย ข้ายังไม่รู้จะหาจากไหนเลย ก็ว่าจะขายที่นี่แหละ” ตาไผ่เดินมานั่งบนแคร่ใกล้ ๆ ลูกสาว
            “ใครเขาจะซื้อล่ะพ่อ ที่เราไม่มีโฉนด” ชะอมถอนใจ
            “ก็นั่นนะซิ มีแต่พ่อไอ้แหลมแหละที่รับซื้อ แต่มันกดราคาเหลือเกิน ขายไปก็ไม่พอใช้หนี้เลย”
            “เวรกรรมแท้ ๆ ว่าแต่ว่าถ้าพ่อขายที่แล้ว เราจะไปทำอะไรกิน ลำพังฉันทำงานเป็นลูกจ้างเขา ก็แทบไม่พอกินแล้วนะพ่อ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย” ชะอมนั่งกอดเข่าอย่างกลัดกลุ้ม
            “เอาไว้คิดทีหลังเถิด ตอนนี้คิดแต่ว่าจะเอาที่ไปขาย แล้วหาเงินไปไถ่ชีวิตไอ้ไพรมาก่อน เอ็งช่วยคิดทีเถอะว่าจะไปขายใครดีที่ให้ราคาดีกว่านี้”
            “พวกคนกรุงเทพฯก็มีมาซื้อที่แถวนี้เหมือนกันนะพ่อ เห็นเขาเล่าว่าช่วงนี้คนกรุงเทพฯ เขากลัวน้ำท่วม เลยมากว้านซื้อที่ดินกันเยอะแยะ แล้วก็มีคนในเมืองเขาก็ซื้อไว้เก็งกำไรขายให้คนกรุงเทพฯอีกต่อหนึ่ง เห็นคนในร้านที่ฉันทำงานเขาคุยกันว่าช่วงนี้ที่ดินราคาขึ้นกันหมด  เดี๋ยวฉันจะลองไปถามให้ก่อน เคยได้ยินเขาซื้อกันไร่ละหกหมื่น แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี แล้วใครจะโง่มาซื้อไร่ละแปดหมื่นล่ะพ่อ”
            “ข้าก็ได้ยินเขาลือกันว่าขายได้ราคานั้นเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาซื้อสักคน รออยู่เหมือนกัน ชะอมเอ๊ย.. ข้าร้อนใจมากเลย เอ็งช่วยรีบไปบอกขายเถิด หาคนซื้อให้ได้เร็วที่สุด ได้แค่นั้นก็เอามาก่อนดีกว่า ไม่งั้นไอ้ไพรตายแน่เลย ข้าสังหรณ์ใจ”
            “จ้ะพ่อ แต่ไม่ใช่ขายกันง่าย ๆ นะพ่อ ต้องอาศัยความไว้ใจมากเลย เพราะที่ สปก. มันโอนให้ใครไม่ได้นอกจากมอบสืบทอดมรดกให้ทายาทเท่านั้น ต้องเป็นลูกสาว ลูกชาย ไม่มีใครยอมซื้อแพง ๆ หรอก เพราะกลัวเราโกง”
            “แต่ข้าไม่เคยโกงใครเลยนะ”
            “ฉันเชื่อพ่อ แต่ใครจะเชื่อเราล่ะพ่อ เขาไม่รู้จักเรา” ชะอมนอนค้างที่บ้านเพียงคืนเดียว รุ่งเช้าก็รีบนั่งรถเข้าเมืองเพื่อไปหาทางขายที่ให้พ่อ เธอมองเห็นอนาคตข้างหน้าดูลำบากยากเข็ญยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าพ่อขายที่ไปแล้ว พ่อก็ไม่มีอาชีพอีกต่อไป เธอจะต้องหาเงินค่าใช้จ่ายให้พ่อ ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้พ่อด้วย แล้วค่อยขยับขยายหาที่ดินสักแปลงให้พ่อทำไร่ของพ่อต่อไป พ่อไม่ชอบอยู่ในเมืองแน่นอน  ยิ่งคิดก็ยิ่งมึน เธอคิดไม่ออกเลยว่ารายได้จากการเป็นลูกจ้างอันน้อยนิดของเธอเวลานี้จะพอค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างไร ชะอมนึกเสียดายที่ตัวเองเรียนไม่จบปริญญาตรี ต้องหยุดการเรียนกลางครันเพราะไม่มีเงินเรียนต่อ ซ้ำยังต้องดูแลแม่ เมื่อครอบครัวไม่มีเงินเธอต้องออกมาหางานทำเป็นลูกจ้างร้านอาหารในเมือง
            “ที่ดินไม่มีโฉนด ขายยากนะชะอม”  เจ๊ใหญ่ เจ้าของร้านอาหารบอกเธอหลังจากเธอไปปรึกษาเรื่องการขายที่กับเจ๊ใหญ่ ซึ่งรู้จักคนมากมาย เจ๊ใหญ่ออกไปถามไถ่นายทุนหลายคนที่เธอรู้จักแต่ทุกคนก็ไม่อยากได้
            “พวกนั้นบอกว่าไม่รู้จะซื้อไปทำไม นอกจากอยากทำไร่จริงๆ ขนาดเจ๊ไปลองถามเฮียศักดิ์เจ้าของตลาดที่งกเงินที่สุด เฮียศักดิ์มันบอกไม่เอาหรอก ที่แบบนี้ซื้อไปมีแต่เงินไปจม ไม่มีกำไร แต่มันทิ้งท้ายไว้นะ ยกเว้นแต่ซื้อที่แล้วแถมชะอมเท่านั้น เฮียศักดิ์มันบอกมันซื้อเลย ไอ้นี่มันชีกอจริงๆ นะ” เจ๊ใหญ่พูดขำ ๆ แต่ชะอมไม่ขำ คิดถึงเฮียศักดิ์อายุเกือบเท่าพ่อเธอ อ้วนเพละพุงพลุ้ย เวลามากินข้าวที่ร้านทีไรก็จะกระซิบบอกเธอว่า “ ชะอม จะทำงานให้เหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยทำไม มาเป็นเมียเฮียดีกว่า สบายไปตลอดชาตินะ อยากได้อะไรเฮียให้หมดเลย” ชะอมฟังแล้วคลื่นเหียนแต่ก็ยังฝืนยิ้มหวานให้เฮียศักดิ์ เพราะถือเป็นลูกค้าประจำ และเขาจะติ๊บเธอครั้งละร้อยบาทด้วยความเสน่หาทุกคราวไป





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น